กลอน กุหลาบขาว...ในมือโจร...
กุหลาบงาม..ดอกนี้..มีสีขาว
สวยสดราว..ดอกไม้..ในความฝัน
มีคุณค่า..ควรอยู่..คู่แจกัน
เหมือนเยี่ยงพันธุ์..ไม้งาม..หนามแหลมคม
แต่วันนี้..มีมือหนึ่ง..ซึ่งถืออยู่
และเป็นผู้..ไม่เห็นค่า..ว่าเหมาะสม
เด็ดกลีบทิ้ง..แล้วโยน..ลงโคลนตม
ความโสมม..เปลอะเปื้อน..ทั้งเรือนกาย
กุหลาบขาว..จึงไร้ค่า..หมดราศี
ถูกขยี้..ย่อยยับ..ดับสลาย
มีแต่คน..กล่าวว่า..อย่าเสียดาย
เพราะเกินหมาย..มุ่งคว้า..มาแนบครอง
ปล่อยให้แดด..แผดเผา..จนเฉาแห้ง
ถูกกลั่นแกล้ง..เหยียบย่ำ..จนช้ำหมอง
ไม่มีใคร..เหลียวแล..แม้หันมอง
กุหลาบต้อง..หมองหม่น..เพราะคนทราม
น้ำตาเอ่อ..ล้นทรวง..ท่วมดวงจิต
คนอำมหิต..ใจแล้ง..แกล้งเหยียดหยาม
กุหลาบซึ่ง..เคยมี..กลีบสีงาม
กลับสิ้นหนาม..ไร้คุณค่า..มีราคี
จึงไม่ใช่..กุหลาบงาม..ในความฝัน
เพราะนับวัน..จะสูญสิ้น..ทั้งกลิ่นสี
ไม่มีใคร..เสียดายค่า..ของมาลี
เพราะเหตุที่..ถูกถือ..ด้วยมือ..โจร....
ประพันธ์โดย
กุหลาบขาว....
.......................................................
กลอน สิ้น...หวัง....
วันที่หวัง..ยังไม่เห็น..เป็นความหวัง
ยังคงว่าง..เปล่าดาย..ไม่ถึงไหน
เฝ้ารอคอย..ความหวัง..ดั่งรอใคร
จนหัวใจ..ปวดปร่า..พะว้าพะวง
เงียบและเหงา..วังเวง..ดุจเพลงเศร้า
หัวใจร้าว..ใกล้สลาย..กลายเป็นผง
ความมุ่งหมาย..ลดน้อย..ถดถอยลง
ไม่นานคง..หายวับ..ไปกับตา
ฝนสั่งฟ้า..ลาดิน..สิ้นหยาดฝน
ความหมองหม่น..แผ่ขยาย..ในเวหา
ได้แต่คอย..น้อยใจ..โชคชะตา
ร้าวอุรา..ร้อนรุ่ม..ดั่งสุมไฟ
จะสิ้นหวัง..ไหมหนอ..รอแล้วหาย
หัวใจคล้าย..หมดพลัง..เคยหวังไว้
ไร้วี่แวว..ของคนดี..ที่แสนไกล
ใจสลาย..แทบไม่เหลือ..เมื่อเปลี่ยนวัน
แรงลมหนาว..หนาวสั่น..วันสิ้นหวัง
ทำนบพัง..น้ำตาไหล..ไม่อาจกลั้น
ความหม่นหมอง..สุดทน..จนกัดฟัน
เพราะโดนหยัน..เหยียบย่ำ..จนช้ำชา
วันพรุ่งนี้..จะมีไหม..ให้ได้หวัง
เจ็บทุกครั้ง..เงียบหงอย..เฝ้าคอยหา
ต้องอ่อนแอ..แพ้พ่าย..หน่ายระอา
หยาดน้ำตา..ไม่หยุดไหล.."ใครช่วยที"....
ประพันธ์โดย
กุหลาบขาว......
.........................................................................
กลอน ทั้งรัก...ทั้งเกลียด...
เธอจ๋าเธอ..จำได้ไหม..ในวันนั้น
เธอหันหลัง..จากฉันไป..กับใครอื่น
สองเข่าคู้..อ้อนวอนเธอ..ให้กลับคืน
เสียงสะอื้น..ปิ่มว่า..จะขาดใจ
เธอนั้นหรือ..มองเมิน..แล้วเดินผ่าน
ไม่สะท้าน..ดวงจิต..คิดหวั่นไหว
ตระกรองกอด..กันต่อหน้า..ลาจากไป
ไร้เยื่อใย..ตัดสัมพัน..ที่ฉันมี
ความอาลัย..อาวรณ์..ตอนสิ้นหวัง
ใจภินทร์พัง..แทบด่าวดิ้น..รักบินหนี
ความท้อแท้..โถมประดัง..ฝังฤดี
สุดเหลือที่..เอ่ยคำ..พร่ำวาจา
น้ำใสใส..ไหลหลั่ง..ไม่ยั้งหยุด
ดังถูกฉุด..เข้ากองไฟ..แทบใบ้บ้า
วิญญาณแทบ..แตกสลาย..ไร้ชีวา
รวดร้าวมา..หลายปีนัก..ขอพักใจ
ตั้งปณิธาน..กับหัวใจ..เอาไว้ว่า
ไม่ปรารถนา..ประสพ..พบรักใหม่
ความเจ็บช้ำ..ตอกย้ำ..ช้ำกายใจ
สอนตนให้..เข้มแข็งขึ้น..ฟื้นศรัทธา
ด้วยทั้งรัก..ทั้งเกลียด..ทั้งเคียดแค้น
เข้าฝังแน่น..เจ็บหนัก..เกินรักษา
ยิ่งรักมาก..ยิ่งเกลียดมาก..หากเอ่ยมา
แม้ใบหน้า..ไม่ขอพบ..ประสพเจอ
กว่าจะลืม..เธอได้..ใช่ง่ายนัก
ผ่านมามาก..รักร้ายลึก..ระลึกเสมอ
เฝ้าเก็บรัก..กักขังใจ..ไม่พบเจอ
ลาก่อนเธอ..ทุกทุกชาติ..เราขาดกัน..
ประพันธ์โดย
กุหลาบขาว...
.......................................
กลอน ใจ..สองดวง...
เมื่อดวงใจ..หนึ่งดวง..เฝ้าห่วงหา
หยาดน้ำตา..พลันหลั่งไหล..ไร้เหตุผล
อาวรณ์ถึง..ใจอีกดวง..อย่างทุกข์ทน
ปวดร้าวจน..หวั่นไหว..ใจคะนึง
เมื่อดวงใจ..สองดวง..เฝ้าห่วงหา
แรงศรัทธา..ใจอีกดวง..ล่วงรู้ถึง
ส่งดวงใจ..รักมั่นมา..ตราติดตรึง
เริ่มลึกซึ้ง..ผูกพัน..อย่างมั่นคง
เมื่อดวงใจ..มีดวงใจ..ไว้เป็นเพื่อน
ประดุจเหมือน..ได้เพชรงาม..อันสูงส่ง
รู้คุณค่า..กันและกัน.หมั่นดำรง
เพราะดวงใจ..ซื่อตรง..ต่อดวงใจ
เมื่อดวงใจ..พร้อมเคียงคู่..อยู่เสมอ
พร้อมเจอะเจอ..อุปสรรค..ทั้งน้อยใหญ่
สุขหรือทุกข์..ผจญท้า..ฝ่าฟันไป
จึงเติมไฟ..เติมความฝัน..ปันพลัง
เมื่อดวงใจ..สองดวง..ยังห่วงหา
จึงเผยนัย..แห่งแววตา..มาฝากฝัง
ใจสองดวง..อารมณ์ดี..ไม่จืดจาง
ต่างวาดหวัง..เคียงคู่กัน..นิรันดร์กาล
เมื่อดวงใจ..สองดวง..รวมเป็นหนึ่ง
ดวงใจจึง..วาดหวัง..สร้างหลักฐาน
ใจแอบอิง..อุ่นดวงใจ..ไปเท่านาน
ความฉ่ำหวาน..จึงมั่นคง..ตรงกลางใจ....
ประพันธ์โดย
กุหลาบขาว...
..................................
กลอน นก..ในกรง...
อยากเหิรบินก้าวไปไขว่คว้าฝัน
แต่ถูกกั้นด้วยกรงใจ" ชายอสูร "
ทั้งโหดร้ายใจดำแสนทารุณ
ไร้อบอุ่นต้องทนเศร้าเหงาเดียวดาย
ดั่งเหมือนนกปีกหักจากต่างถิ่น
ที่หลงบินตกลงมาหาความหมาย
ไม่คุ้นเคยความแห้งแล้งจากน้ำใจ
ถูกขังไว้ในกรงทองต้องร้าวราน
ถูกบังคับให้ร้องเพลงบรรเลงร่า...
ไม่นำพาก็ผลักไสไม่สงสาร
ทิ้งให้อยู่ตามลำพังทรมาน
ต้องหนาวสั่นงันงกอกระทม
ฟากฟ้าเป็นอย่างไรลืมหมดสิ้น
ไม่ได้บินมานานพลันขื่นขม
ม่านสายรุ้งงดงามเคยได้ชม
ต้องสายลมบินถลาพาสุขใจ
ได้แต่เฝ้ารอน้ำใจใครคนหนึ่ง
เป็นผู้ซึ่งเวทนาไม่ผลักไส
มีเมตตาเปิดกรงทองแห่งหัวใจ
พาบินไปสู่ฟากฝันอันเรืองรอง...
ประพันธ์โดย
กุลาบขาว...
......................................................
กลอน มาเปล่า...ก็ไปเปล่า.....
เสียงระฆังวังเวงวิเวกแว่ว
แก๊ง.แก๊ง.แผ่วจากหนใดที่ไหนหนอ
วิหกร้องขันคูกู่เสียงคลอ
หอมละออกลิ่นมาลีคลี่ดอกบาน
จิตวิญญาณลอยวนอยู่หนไหน
โปรดจงช่วยกลับมาคืนผสาน
เป็นหนึ่งเดียวกับเรือนร่างดั่งต้องการ
อย่าซมซานเป็นกายทิพย์พเนจร
แสงแห่งธรรมสาดส่องทั่วท้องหล้า
ต่างจรมาน้อมรับฟังคำสั่งสอน
กิเลสที่กลางฤทัยเริ่มคลายคลอน
พนมกรน้อมรับภควันต์
เสียงธรรมะสะวะนะประสานก้อง
ดั่งเสียงร้องบรรเลงเพลงสวรรค์
ขับกล่อมมวลเวไนยสารพัน
ให้ยึดมั่นในศรัทธาค่าความดี
จักษุได้รู้เห็นเป็นแก่นสาร
ถึงความเจ็บปวดทรมานความบัดสี
เห็นการเกิดแก่เจ็บตายบรรดามี
ทั้งโลกีย์ตัญหาน่าเศร้าใจ
ความดีไม่เคยทำเลยสักนิด
ครั้นชีวิตใกล้จะลับดับสลาย
กระเสือกกระสนดิ้นรนหนีความตาย
เริ่มเห็นพระรำไรในสันดาน
โสตสองข้างควรรับสดับบ้าง
ทุกสิ่งอย่างล้วนนิจจังตามสังขาร
ไม่มั่นคงจีรังยั่งยืนนาน
ต้องแตกดับตามกาลกำหนดมา
จะต้องการสิ่งใดอะไรเล่า
เรามาเปล่าก็ไปเปล่านั่นแหละหนา
สร้างความดีประดับไว้ในโลกา
ดั่งผกาหอมระรินทั่วถิ่นไพร....
กหลาบขาว...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น